วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2559

สายเหยี่ยว หรือ สายพิราบ




สายเหยี่ยว หรือ สายพิราบ
            เทรดเดอร์ Forex หลายคนอาจจะ งง กับคำนี้ แต่อย่างพึ่งหนีมันนะครับ ถ้าติดตามข่าวสารเศรษฐกิจกันอยู่บ่อยๆ ต้องเคยได้เห็น 2 คำนี้กันอย่างแน่ๆ
            สายเหยี่ยว (Hawkish) : ความเห็นเชิงเข็มงวดทางเศรษฐกิจ – ขึ้นดอกเบี้ย
            สายพิราบ (Dovish) : ความเห็นเชิงผ่อนคลายทางเศรษฐกิจ – ลดดอกเบี้ย
            แม้ว่าจุดประสงค์ในการกำหนดนโยบายของธนาคารกลางนั้นจะเหมือนกันคือสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ แต่อย่างไรก็การกำหนดนโยบายนั้นก็ต้องมาจากเจ้าหน้าที่ในนั้นว่าจะมีความเหตุว่าอย่างไร นักเศรษฐศาสตร์แต่ละคนก็มีมุมมองแตกต่างกันออกไป ทำให้การกำหนดนโยบายในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจนั้นก็ต่างกันด้วย
            ในธนาคารกลางนั้นก็เปรียบเสมือนธุรกิจทั่วๆไปที่ประกอบด้วย หัวหน้า เจ้าหน้าที่ พนักงาน ที่แต่ละคนมีคนละ 1 เสียงในการโหวตว่าจะให้ใช้นโยบายทางการเงินแบบใด ซึ่งถ้าความเห็นส่วนมากมีลักษณะ Dovish โอกาสการลดดอกเบี้ยก็มีสูง แต่ถ้าความเห็นส่วนมากมีลักษณะ Hawkish โอกาสการขึ้นดอกเบี้ยก็มีสูง


            แต่อย่างก็ดีเราก็ต้องดูผู้นำสูงสุดของแต่ละธนาคารกลาง เพราะบุคคลเหล่านี้จะเป็นตัวนำอยู่แล้ว ให้ฟังความคิดเห็นของเขาเหล่านั้นเวลาขึ้นพูดปราศรัยว่ามีความเห็นเป็นอย่างไร เช่นนาง Yellen ที่เป็นประธาน FED หรือนาย Draghi ที่เป็นประธาน ECB ซึ่งหลักๆเราต้องดูความเห็นของคนเหล่านี้ซึ่งจะมีผลต่อการกำหนดนโยบายทางการเงิน และจะมีผลต่อค่าเงินในประเทศนั้นๆ
            การดูตารางการขึ้นปราศรัย หรือตัวเลขเศรษฐกิจที่จะประกาศนั้นสามารถติดตามได้ทาง http://www.forexfactory.com/ ซึ่งจะบอกเวลาและความสำคัญของแต่ละเหตุการณ์ว่าจะมีผลต่อค่าเงินนั้นมากน้อยแค่ไหน

ทีมงาน : forexfactorythai.com

ยิ่งรีบยิ่งเจ๊ง

ยิ่งรีบยิ่งเจ๊ง

            ทุกคนที่เข้ามาเทรดส่วนมากก็อยากจะรวยเร็วๆ ทำกำไรเร็วๆ เลยเร่งการเทรด ใส่หน้าตักเยอะๆ เพื่อหวังกำไรเป็นก่อเป็นกำ ซึ่งสุดท้ายก็นำมาซึ่งหายนะทั้งสิ้น
            ยอมรับว่าเงื่อนไขของ “เวลา” นั้นสำคัญมาก คนเรามีเวลาจำกัดกันทุกคน เป็นธรรมชาติของมนุษย์โลก ถ้าคนเราเป็นอมตะ เราก็ไม่ต้องรีบร้อนทำอะไร เราสามารถทำอะไรก็ได้ที่เราอยากทำ เราจะสอบตกกี่รอบก็ได้ เพราะเดี๋ยวก็สอบใหม่ได้ เพราะเวลาเราไม่จำกัด หรือเราจะเลือกเรียนอะไรก็ได้ที่เราอยากเรียน ถ้าไม่พอใจก็เปลี่ยนไปเรียนวิชาอื่นใหม่ … แต่ความเป็นจริงไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิ คนเรามีเวลาจำกัด ยิ่งใช้เวลากับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเท่าไหร่ เราก็จะไม่มีเวลาไปทำสิ่งอื่นมากเท่านั้น ซึ่งเหมือนกับ ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง ดังนั้นในการใช้ชีวิตของการตัดสินใจต่างๆ ก็ต้องคำนึงถึงเงื่อนไขของเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยทั้งสิ้น ทั้งการศึกษา การงาน การเงิน ท่องเที่ยว บลาๆ


            แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการเทรด ?? … ซึ่งที่ต้องพูดถึงคือมันเป็นความขัดแย้ง เพราะว่าถ้าบอกว่าเรามีเวลาไม่จำกัด เราก็สามารถเรียนรู้วิชาได้เรื่อยๆ รอเงื่อนไขที่ดีที่สุดซึ่งอาจเกิดขึ้นปีละครั้งอะไรประมาณนี้ แต่เนื่องจากเวลามีจำกัด เราไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ แต่ถ้าเราไปเร่งการเรียนรู้ เร่งการเทรด เพราะอยากรวยเร็วๆจะได้เอาตังไปใช้ … มันจะทำให้พอร์ตเราแตกในที่สุด เพราะสิ่งบางอย่างต้องใช้เวลาในการเติบโต การเทรดก็เช่นกัน ดังนั้นเราควรหาจุดสมดุลให้ได้ ไม่เร่งจนเกินไป และไม่รอนานจนเกินไปเช่นกัน … การเทรดก็เหมือนกับการใช้ชีวิตของเรานั่นเหละ เราไม่สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งที่อยู่บนโลกได้หรอก เพียงแต่เราเลือกอยู่กับสิ่งที่เราคิดว่าเหมาะสม สมดุล และมีความสุข


ทีมงาน : forexfactorythai.com

ปัจจัยทางพื้นฐานที่กระทบต่อค่าเงิน

ปัจจัยทางพื้นฐานที่กระทบต่อค่าเงิน

            ต้องบอกว่ามีปัจจัยทางพื้นฐานหลายปัจจัยมากที่มีผลต่อค่าเงินในประเทศนั้นๆ ซึ่งอย่างที่ทราบกันว่าผลกระทบต่อปัจจัยทางพื้นฐานนั้นมักเป็นลักษณะระยะยาวในกรณีของผลกระทบนั้นรุนแรง หรืออาจเป็นลักษณะระยะสั้นกรณีผลกระทบนั้นไม่รุนแรง ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อเทรดเดอร์ โดยในที่นี่จะกล่าวถึงผลกระทบหลักๆที่เทรดเดอร์ต้องให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้

สภาพเศรษฐกิจ
            ภาวะเศรษฐกิจที่ดีหรือร้ายสามารถสังเกตได้จาก ผู้บริโภค , ธุรกิจ และ รัฐบาล ในประเทศนั้นว่าเป็นอย่างไร ถ้าผู้บริโภครับรู้ว่าเศรษฐกิจในประเทศดี ผู้บริโภคก็จะรู้สึกปลอดภัย กล้าที่จะใช้เงิน ธุรกิจก็กล้าที่จะลงทุนต่างๆมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ก็นำไปสู่การเก็บภาษีที่มากขึ้นของรัฐบาล รัฐบาลก็สามารถนำเงินไปพัฒนาต่อได้ ซึ่งเป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจภาพรวมในประเทศ
            ในอีกด้านนึง ถ้าเศรษฐกิจแย่ ผู้บริโภคก็ไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย ธุรกิจไม่กล้าลงทุนอะไร ดังนั้นรัฐบาลก็ขาดรายได้จากภาษี ไม่มีเงินลงทุนพัฒนาประเทศเป็นต้น
            ซึ่งสภาพเศรษฐกิจที่ดีหรือแย่นั้นจะมีผลโดยตรงการค่าเงินในประเทศนั้น


กระแสเงินทุน
            ในยุคกระแสโลกาภิวัตน์ การเติบโตอย่างรวดเร็วของยุคอินเตอร์เน็ตสามารถทำให้การโยกย้ายเงินทุนสามารถทำได้อย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วินาที และสามารถผ่านเพียงปลายนิ้วมือของเรา สามารถย้ายเงินจาก New York สู่ London สู่ Nikkei หรือกระทั้งไป Hang seng ซึ่งการย้ายเงินทุนเหล่านี้ก็จะมีผลโดยตรงต่อค่าเงินแต่ละประเทศ ถ้าเงินไหลออกค่าเงินก็อ่อนค่า ถ้าเงินไหลเข้าค่าเงินก็แข็งค่า ซึ่งการย้ายกระแสเงินทุนนี้ก็มาจากหลักอุปสงค์และอุปทาน เงินทุนจะไหลจากสิ่งที่ไม่น่าดึงดูด ไปสู่สิ่งที่น่าดึงดูด … สิ่งที่น่าดึงดูดคืออะไร ก็เช่นประเทศที่อัตราดอกเบี้ยสูง และมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง เป็นต้น

ดุลการค้า
            ในโลกของเรา มีการค้าระหว่างประเทศกันอยู่ตลอดเวลา เพื่อแลกเปลี่ยนสินค้ากันและกัน เช่น US นำเข้าสินค้าจาก จีน โดยนำเงินสหรัฐไปแลกเป็นหยวนเพื่อซื้อสินค้าของจีนดังกล่าว เป็นต้น ซึ่งสิ่งนี้มีผลโดยตรงต่อค้าเงินเช่นกัน
            ถ้า ส่งออก > นำเข้า = เกินดุล (ค่าเงินมีแนวโน้มแข็งค่า)
            ถ้า ส่งออก < นำเข้า = ขาดดุล (ค่าเงินมีแนวโน้มอ่อนค่า)


การเปลี่ยนผ่านของรัฐบาล
            แน่นอนอยู่แล้วว่าการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่นั้นมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากนโยบายการบริหารที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงความไม่มั่นคงที่อาจเกิดขึ้น สิ่งนี้จะเป็นการสร้างความกังวลหรือความมั่นใจ ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ซึ่งจะมีผลต่อมุมมองทางเศรษฐกิจและค่าเงินในประเทศเช่นเดียวกัน

ทีมงาน : forexfactorythai.com

นโยบายการเงินกับตลาด Forex

นโยบายการเงินกับตลาด Forex

            การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางต่างๆทั่วโลกนั้นก็เพื่อที่จะสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศตัวเอง โดยนโยบายการเงินถือเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่จะคอยควบทิศทางของเศรษฐกิจได้
            นโยบายที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือทางการเงิน
  • ปริมาณเงิน (Money supply) : อัตราเงินสดสำรอง,อัตราซื้อลด และอื่นๆ
  • อัตราแลกเปลี่ยน (Exchange rate) : ควบคุมอัตราแลกเปลี่ยน
  • และอัตราดอกเบี้ย (Interest rate) : กำหนดอัตราดอกเบี้ย
ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้จะมีผลต่อทิศทางเศรษฐกิจและค่าเงินในประเทศนั้นๆ


มาดูประเภทของการใช้นโยบานทางการเงิน ซึ่งมีอยู่ 2 ประเภทหลักๆ คือ
  1. นโยบายการเงินแบบขยายตัว (Expansionary monetary policy) – ค่าเงินอ่อน
            เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยจะเพิ่มปริมาณเงินในระบบให้มากขึ้น เพื่อให้ธนาคารปล่อยกู้ทั้งภาคครัวเรือน และภาคเอกชน ให้เกิดการบริโภคและการลงทุนมากขึ้น อีกทั้งการลดอัตราดอกเบี้ยให้การกู้ยืมได้ง่ายขึ้น เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโต
  1. นโยบายการเงินแบบหดตัว (Contractionary monetary policy) – ค่าเงินแข็ง
            เป็นการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ในช่วงเศรษฐกิจเติบโตอย่างร้อนแรง ธนาคารกลางอยากได้การเติบโตนั้นเป็นอย่างค่อยเป็นค่อยไป สามารถทำได้โดยการ ลดปริมาณเงินในระบบ , เพิ่มอัตราดอกเบี้ย (ดอกแพงคนไม่อยากกู้) เพื่อทำให้การบริโภคและการลงทุนนั้นชะลอตัวลง
ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ต้องดูควบคู่กับภาวะเศรษฐกิจของประเทศนั้นในการกำหนดนโยบายก็คือ “อัตราเงินเฟ้อ” ซึ่งเป็นตัวแปรหนึ่งที่ธนาคารกลางต่างๆมักใช้เป็นตัวในการกำหนดนโยบาย เพราะว่าอัตราเงินเฟ้อนั้นมีผลต่อเศรษฐกิจอย่างมาก


ผลกระทบของเงินเฟ้อ (กรณีเงินเฟ้อสูงขึ้น)
  • ผลต่อประชาชนทั่วไป : รายจ่ายสูงขึ้น อำนาจซื้อน้อยลง
  • ผลต่อธุรกิจ : สินค้าแพงขึ้น ยอดขายลดลง ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น , ความสามารถการแข่งขันลดลง เนื่องราคาสินค้าส่งออกสูงขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศอื่น
  • ผลต่อประเทศ : เศรษฐกิจชะลอตัว เนื่องจากประชาชนบริโภคน้อยลง ธุรกิจไม่สามารถขายได้ การลงทุนก็ชะลอออไป

            ซึ่งเทรดเดอร์อย่างเราๆอาจมองเป็นเรื่องไกลตัวก็จริง แต่อย่างลืมว่าแนวโน้มใหญ่ของค่าเงินต่างๆนั้น มันมาจากการนโยบายทางการเงินทั้งนั้น โดยผลจากนโยบบายทางเศรษฐกิจอาจร่วมกินเวลาถึง 1 – 2 ปี  ถ้าเราอยู่ฝั่งเดียวกับทิศทางที่ถูกต้อง ก็จะสร้างความได้เปรียบในการเทรดเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ทีมงาน : forexfactorythai.com

เทรดตามแนวโน้ม

เทรดตามแนวโน้ม

            Trend is your friend  คำพูดเดิมๆ ซ้ำๆ ที่เหล่าเทรดเดอร์มือเก๋าชอบพูดกัน ซึ่งที่เหล่าเทรดเดอร์หลายคนพูดถึงแต่สิ่งนี้ก็เพราะว่า การเทรดตามแนวโน้มนั้นจะทำให้เราเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถชนะตลาดได้อย่างยั่งยืน



            “ข้อผิดพลาดของเทรดเดอร์หลายคนคือพยายามจะจับจังหวะเล็กๆการแกว่งตัวของราคา จนลืมดูภาพใหญ่ – Jack schwager
  • ในแนวโน้มขาขึ้น: ขนาดการแกว่งตัวขึ้นของราคา มากกว่าขนาดการแกว่งตัวลง
  • ในแนวโน้มขาลง: ขนาดการแกว่งตัวลงของราคา มากกว่าขนาดการแกว่งตัวขึ้น

แนวโน้มขึ้น


            กราฟตัวอย่าง USDCAD ในช่วงแนวโน้มขาขึ้น ช่วงแรกในการขึ้น 350 pips และตามด้วยการย่อตัวลงมา 150 pips และขึ้นต่อที่ 600 pips และย่อตัวลงมา 250 pips และขึ้นรอบใหญ่ที่ 1450 pips … เห็นอย่างงี้เทรดเดอร์อยากจะ Short สวนไหมละครับ … ใครที่เล่นฝั่ง Long ก็จะได้เปรียบกว่าค่อนข้างเยอะ

แนวโน้มขาลง


            จากกราฟตัวอย่าง USDJPY ในแนวโน้มขาขึ้น ขนาดในการลงโดยรวมแล้วมากกว่าขนาดการขึ้นค่อนข้างเยอะ ซึ่งแสดงให้ชัดว่าฝั่ง Short ได้เปรียบกว่าฝั่ง Long ค่อนข้างเยอะ … เทรดเดอร์ที่ดีก็ไม่ควรไปสวน Short ควรอยู่ฝั่งที่ได้เปรียบจะดีกว่า
            ดังนั้นถ้าอยากได้เปรียบในการเทรดเราก็ควรจะอยู่ฝั่งเดียวกับแนวโน้ม ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทีมงาน : forexfactorythai.com

เทดรข่าวโดย Straddle strategy

เทดรข่าวโดย Straddle strategy

            การเทรดในช่วงประกาศข่าวหรือตัวเลขเศรษฐกิจนั้นก็ทำได้เช่นกัน โดยตัวเลขสำคัญๆ อย่าง Nonfarm payroll  , ประชุม FOMC , ดุลการค้า , CPI , ยอดค้าปลีก ซึ่งตัวเลขเหล่านี้เป็นตัวเลขที่สำคัญทางเศรษฐกิจ ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงิน นี่ยังไม่รวมถึงพวกข่าวในประเทศ การก่อการร้าย สงคราม ภัยพิบัติ อื่นๆ อีก ซึ่งก็มีผลทำให้ค่าเงินนั้นเคลื่อนไหวเยอะเช่นกัน


            ในเบื้องต้นการเทรดพวกตัวเลขเศรษฐกิจนั้นเราควรเตรียมตัวก่อนตัวเลขนั้นประกาศประมาณ 20 นาที โดยประเมินช่วงการแกว่งตัวว่าราคามีโอกาสทะลุไปใดจุดใดหลังประกาศตัวเลขนั้น และกำหนดจุด Breakout ในการเข้า และกำหนดเป้าหมายการทำกำไร และการตัดขาดทุน

Straddle trade
            คือเราไม่มีทางรู้หรอกว่าตัวเลขออกมาเป็นอย่างไร กลยุทธ์นี้ใช้ได้ทั้ง 2 ทิศทาง คือรอหาจังหวะการ Breakout ของราคา และวางเป้าหมาย ทั้ง 2 ฝั่ง โดยถ้า Break ฝั่งใดก็ให้เล่นตามฝั่งนั้น


            จากกราฟตัวอย่าง เริ่มแรกก่อนข่าวประกาศ 20 นาที ให้หากรอบการเคลื่อนไหวเพื่อวางกลยุทธ์ ว่าถ้าราคาทะลุฝั่งขึ้น จะไปเท่านี้ และถ้าราคาทะลุฝั่งลง ก็จะไปเท่านี้ เป็นต้น โดยกำหนดจุด Stop loss ด้วยเช่นกันหากราคาไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์
            จากนั้นก็รอข่าวประกาศ ถ้าราคาทะลุฝั่งใดฝั่งหนึ่งก็ซื้อตามในฝั่งนั้น นี่เป็นการเทรดแบบไม่อิงทิศทาง สามารถตัดอารมณ์การเทรดออกไปได้ เพราะเราไม่มีอคติในการซื้อฝั่งใดฝั่งหนึ่งอยู่แล้ว


ทีมงาน : forexfactorythai.com

ใช้ 3 Time frames


ใช้ 3 Time frames

            ปกติการวิเคราะห์กราฟโดยใช้หลาย Time frames จะช่วยให้เทรดเดอร์ดูมิติการเทรดได้มากมาย ทั้งภาพใหญ่และภาพย่อย ซึ่งช่วยเสริมประสิทธิภาพในการเทรดของเทรดเดอร์ได้ แต่หลากคนอาจตั้งคำถามสงสัยแล้ว่าจะดูกี่ Time frames ดีล่ะ … ในเบื้องต้นแนะนำให้เทรดเดอร์ใช้ 3 Time frames เพื่อที่จะจับภาพใหญ่ , กลาง และ เล็ก ตามลำดับ
            ภาพใหญ่ : จะหมายถึงการดูแนวโน้มหลัก คอยดูว่าเราควรอยู่ฝั่งไหนในการเทรด
ภาพกลาง : คอยดูว่าแนวโน้มระยะกลางนั้นสอดคล้องกับแนวโน้มหลักหรือเปล่า เพื่อไม่ให้เกิด bias ในการเทรด
ภาพเล็ก : เป็นตัวหาจุดเข้า ออก (entry และ exit)
ส่วนขนาดของ Time frames นั้นก็ขึ้นอยู่กับเทรดเดอร์ว่าเล่นสไตล์ไหน บางคนเล่นสั้นก็อาจใช้ตั้งแต่ราย 1 นาที ถึง 60 นาที ส่วนใครเล่นยาวก็อาจใช้ราย ชั่วโมง ถึง รายวัน
แนะนำการตั้งค่า Time frame
  • ราย 1 นาที , 5 นาที และ 30 นาที
  • ราย 5 นาที , 30 นาที และ 4 ชั่วโมง
  • ราย 15 นาที , 1 ชั่วโมง และ 4 ชั่วโมง
  • ราย 1 ชั่วโมง , 4 ชั่วโมง และ รายวัน
  • ราย 4 ชั่วโมง , รายวัน และ รายสัปดาห์



            การเลือกใช้ Time frames ก็ไม่ควรใกล้กันมาก เนื่องจากจะไม่สามารถบอกความแตกต่างได้อย่างชัดเจน แล้วการใช้นั้นอาจไม่เกิดประสิทธิภาพ ซึ่งเราควรเลือกใช้แต่ละ Time frame ที่เหมาะสม แต่ละ Time frame ไม่ค่อยส่งผลกระทบต่อกันมาก เช่น การเปลี่ยนแปลงใน Time frame เล็กเพียงเล็กน้อย ไม่ควรกระทบต่อ Time frame ใหญ่ เป็นต้น

ทีมงาน : forexfactorythai.com

วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2559

ข่าวสารและตัวเลขเศรษฐกิจ


ข่าวสารและตัวเลขเศรษฐกิจ

            การติดตามข่าวสารและตัวเลขเศรษฐกิจต่างในตลาด Forex นั้นสามารถทำได้อย่างง่ายดาย โดยในปัจจุบันอินเตอร์เน็ตทำให้เราเข้าถึงข้อมูลได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว ทั้งการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ และข่าวสารที่มีผลกระทบต่อค่าเงินนั้น เราสามารถรับรู้ได้อย่างทันที
            ปัจจัยพื้นฐานใหม่จะมีผลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงิน … เนื่องด้วยปัจจัยต่างๆและข่าวสารต่างๆนั้นเยอะมาก เทรดเดอร์อย่างเราๆคงอ่านกันไม่หมดหรอก เราเพียงแต่ติดตามเฉพาะสิ่งสำคัญๆ ที่จะมีผลจริงๆต่อค่าเงินที่เราเทรด ก็เพียงพอต่อการเทรดแล้ว

แหล่งติดตามข่าวสาร
            http://www.reuters.com/
http://www.bloomberg.com/
นี่เป็น website หลักๆที่เราเทรดเดอร์ต่างประเทศนิยมใช้กัน แต่ยังมีอีกหลาย website มากมายที่ให้ข้อมูลข่าวสารกับเรา เลือกใช้สิ่งที่เราถนัดและคอยติดตามข่าวสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาในการเทรด


การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจ
            http://www.forexfactory.com/
            อีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อการแกว่งตัวของค่าเงินเลยคือการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ซึ่งในช่วงที่ประกาศนั้นค่าเงินจะผันผวน เทรดเดอร์ต่างจับจ้องไปในที่ๆเดียวกัน ซึ่งเทรดเดอร์สายเล่นสั้นต้องคำนึงถึงสิ่งนี้กันเป็นอันดับแรกๆเลยทีเดียว ทั้งตัวเลขจ้างงาน , ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ , อัตราการว่างงาน , อัตราดอกเบี้ย และอื่นๆ สิ่งเหล่านี้มีผลต่อค่าเงินทั้งนั้น

            หน้าที่ของเทรดเดอร์คือกรองข้อมูลเหล่านี้แล้วนำมาพิจารณาเพื่อที่จะไปเทรดในตลาด Forex ในตลาดเต็มไปด้วยข้อมูลที่หลากหลาย ทั้งข่าวลืม ข่าวจริง ข่าวเก่า ข่าวใหม่ เราต้องดูด้วยว่าตลาดตอบสนองต่อข่าวนี้ไปหรือยัง หรือข่าวลือนั้นน่าเชื่อถือขนาดไหน ใครเป็นคนปล่อย อย่างนี้เป็นต้น เราต้องวางแผนการเทรดให้ดี และตอบสนองต่อข่าวสารพวกให้ทันท่วงที


ทีมงาน : forexfactorythai.com

COT - Indicator ที่ดีแต่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง

COT - Indicator ที่ดีแต่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง

            ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจก่อนว่า COT คืออะไร … COT ตัวเลขการรายงานของทาง The Commodity Futures Trading Commission, หรือ CFTC ของสหรัฐ โดยจะรายงานข้อมูลตลาด Futures ยอด Net long และ Short ในแต่ละประเภทของผู้เล่น
ซึ่งประกอบด้วย


- Commercial trader (Hedgers) ผู้ผลิตต่างๆที่เข้ามา Hedge สินค้ากับราคาในตลาด Futures เพื่อไม่ให้ดำเนินธุรกิจไปด้วยโดยไม่ต้องคำนึงถึงการเคลื่อนไหวของราคา
- Non-commercial traders (รายใหญ่ เช่นพวกแบงค์, Hedge fund, กองทุนต่างๆ เป็นต้น)
- Retail traders (รายย่อย)
สิ่งสำคัญที่ต้องจับตาดูคือการเคลื่อนไหวของ “รายใหญ่” เนื่องจาก รายย่อยนั้นส่วนมากเป็นผู้ตามอยู่แล้ว จำนวนเงินน้อย ไม่สามารถขับเคลื่อนไหวราคาได้ และพวก Commercial trader นั้นก็ไม่ได้สนทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาอยู่แล้ว แต่คนที่เป็นตัวขับเคลื่อนไหวราคานั้นหลักๆก็มาจากพวก Non-commercial traders หรือรายใหญ่มากกว่า


            เป็นกราฟตัวอย่างแสดงยอดของ COT ในแต่ละผู้เล่น เส้นน้ำเงิน = Commercial trader , เส้นสีแดง = รายย่อย , เส้นสีเขียว = Non-commercial traders (รายใหญ่)
            สิ่งที่เราสนใจคือ “เส้นสีเขียว” หรือ “รายใหญ่” โดยวิธีการวิเคราะห์ COT นั้น คือจะสังเกตจุดที่มัน Extreme ในช่วงที่เส้นเขียวขึ้นสูงมากผิดปกติ … ที่ต้องดูจุด Extreme เพราะว่าเหมือนกับมีคนซื้อมากๆ จนถึงจุดๆนึงราคาขึ้นไปสูงๆ จนไม่มีใครมีซื้อต่อ อะไรจะเกิดขึ้นละครับ สุดท้ายราคาก็จะปรับตัวลงมานั่นเอง
            ซึ่งจากกราฟตัวอย่าง AUDUSD ในช่วงที่เส้นสีเขียวอยู่ในช่วง Extreme เป็นสัญญาณในการเปลี่ยนแนวโน้ม (จากขาขึ้น เป็นขาลง) สุดท้ายก็เห็นการวกตัวกลับลงมาตามกราฟข้างต้น


            เทรดเดอร์สามารถนำเครื่องมือนี้ไปประกอบการเทรดได้เช่นกัน ในการช่วยหาจุดกลับตัว เหมาะสำหรับเทรดเดอร์สายเล่นรอบ สายหาจุดกลับตัว

ทีมงาน : forexfactorythai.com

1 สิ่งที่มีเหมือนกันของเทรดเดอร์ที่สำเร็จ


1 สิ่งที่มีเหมือนกันของเทรดเดอร์ที่สำเร็จ

            ไม่ว่าจะเป็นเทรดเดอร์สาย Trend-following , day trader , swing trader , VI , หรืออะไรก็ตาม การที่จะเทรดให้กำไรในระยะยาวแล้วนั้น ต้องมีหนึ่งสิ่งที่เหมือนกัน ที่ทำให้กระบวนการเทรดเหล่านี้เป็นไปด้วยดีในระยะยาวตลอดการเทรด
            เทรดเดอร์ Forex ที่ประสบความสำเร็จนั้นต้องอาศัยการฝึกฝน การเรียนรู้ ในการทำกำไรจากตลาด ต้องทำการบ้าน เข้าใจในพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคา , แนวโน้ม รวมถึงการคำนวณความเสี่ยงเทียบกับผลตอบแทนในแต่ละการเทรด ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นตัวสร้างระบบการเทรดของเราขึ้นมาเพื่อที่จะหาจังหวะเข้าและออกในการเทรด เพื่อหากำไรจากมัน


            กล่าวกันโดยทั่วไปว่า 10% ของเทรดเดอร์ที่เข้ามาในตลาดเท่านั้นที่สามารถทำกำไรในระยะยาวได้ อีก 90% ขาดทุน
            1 สิ่งที่เชื่อมทุกอย่างเข้าด้วยกัน ที่ทำให้เทรดเดอร์ประสบความสำเร็จในการเทรดนั้นก็คือ “วินัย” วินัยในการทำการบ้าน , วางแผนการเทรด และทำตามแผนการเทรด ซึ่งวินัยเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จในระยะยาว

ทีมงาน : forexfactorythai.com

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2559

รูปแบบแท่งเทียน

รูปแบบแท่งเทียน

            เป็นเทคนิคการเทรดที่ใช้ตั้งแต่เมื่อตั้งแต่ก่อนยุค 1600 ซึ่งถูกคิดค้นโดยพ่อค้าชาวญี่ปุ่น เพื่อที่จะใช้ในการวิเคราะห์แนวโน้มราคา โดยตัวเทียน (body) คือส่วนระหว่างราคาเปิด (opening prices) และราคาปิด (closing prices) ถ้าตัวเทียนเป็นสีขาว จะแสดงว่าราคาปิดของวันนั้นสูงกว่าราคาเปิด แต่ถ้าตัวเทียบเป็นสีดำ จะแสดงว่าราคาปิดของวันนั้นต่ำกว่าราคาเปิด ในขณะที่ส่วนที่ยื่นออกจากตัวเทียนก็คือ ไส้เทียน (shadows) เป็นส่วนที่แสดงถึงระดับ High และ Low ของวันนั้น
Credit: CMT
การวิเคราะห์รูปแบบแท่งเทียนมีมากมายหลายรูปแบบ ในบทความนี้จะกล่าวถึงรูปแบบที่เป็นที่นิยมกันในหมู่เทรดเดอร์สายแท่งเทียนที่นิยมใช้กันเป็นหลัก
Doji: เป็นรูปแบบแท่งเทียน 1 แท่งที่ ราคาปิด และ ราคาเปิด อยู่ในระดับที่เท่ากัน แสดงถึงความเป็นกลางระหว่าง Bullish และ Bearish ส่วน Double doji หรือเป็นการเกิด Doji 2 แท่งติดต่อกัน สามารถสื่อความหมายได้ว่าอาจเกิดการ Breakout ที่มีนัยสำคัญตามมาภายในเวลาอันใกล้นี้
Engulfing patterns: เป็นรูปแบบแท่งเทียน 2 แท่งประกอบกัน โดยแท่งเทียนในลำดับที่ 2 จะครอบคลุมบริเวณของแท่งแรกทั้งหมด ถ้าเป็น Bullish engulfing patterns คือแท่งแรกเป็นแท่งแดงเล็กๆ ส่วนแท่ง 2 เป็นแท่งเทียนสีเขียวที่ครอบคลุมบริเวณของแท่งแดงแรกทั้งหมด เป็นสัญญาณการกลับตัวเป็นแนวโน้มขาขึ้น ส่วนถ้าเป็น Bearish engulfing patterns แท่งแรกเป็นแท่งเขียวเล็กๆ ส่วนแท่ง 2 เป็นแท่งเทียนสีแดงที่ครอบคลุมบริเวณของแท่งแดงแรกทั้งหมด เป็นสัญญาณการกลับตัวเป็นแนวโน้มขาลง
Morning star และ evening star: เป็นรูปแบบแท่งเทียน 3 แท่งประกอบกัน เริ่มจาก Morning star เป็นสัญญาณการกลับตัวเป็นขาขึ้น เริ่มจากแท่งแรกที่เป็นแท่งแดง ตามด้วยแท่งเทียนเล็กๆ ปรับตัวลงต่ำกว่าแท่งแรกนิดนึง (Star) และแท่งที่ 3 เป็นแท่งสีเขียวที่ปรับตัวสูงกว่าแท่งที่ 2 ส่วน Evening star ก็ตรงกันข้าม เป็นสัญญาณการกลับตัวเป็นขาลง (และถ้าแท่งที่ 2 (หรือ Star) เป็นลักษณะ Doji รูปแบบจะยิ่งมีนัยสำคัญ)
Piercing line และ dark cloud cover: เป็นรูปแบบแท่งเทียน 2 แท่งประกอบกับ เริ่มจาก Piercing line เป็นสัญญาณการกลับตัวเป็นขาขึ้น โดยแท่งแรกเป็นลักษณะสีแดง ตามด้วยแท่งถัดมาเป็นลักษณะสีเขียวที่ราคาเปิดต่ำกว่าแท่งแรก แต่ราคาปิดนั้นสูงกว่าครึ่งนึงของความสูงของแท่งแรก (แท่งสีแดง) ส่วน Dark cloud cover ก็ตรงกันข้าม
Hammer: เป็นรูปแบบแท่งเทียน 1 แท่ง เป็นสัญญาณ Bullish แสดงถึงแรงซื้อกลับเข้ามา หลังจากราคาปรับตัวลดลงมาต่อเนื่อง โดยลักษณะแท่งเทียนจะเป็นไส้เทียนยาวๆด้านล่าง และตัวเทียนจะปิดที่บริเวณจุดสูงสุดของแท่งเทียน (ตัวเทียนจะเขียวหรือแดงก็ได้)
Hanging man: เป็นรูปแบบแท่งเทียน 1 แท่ง เป็นสัญญาณ Bearish เกิดขึ้นในช่วงที่ราคาแกว่งตัวทำจุดสูงสุดของรอบ มีแรงซื้อกลับหลอกเข้ามา จนเกิดไส้เทียนยาวๆต่ำกว่าตัวเทียน แต่หลังจากนั้นราคาก็ปรับตัวลง (ตัวเทียนจะเขียวหรือแดงก็ได้)
Shooting star: เป็นรูปแบบแท่งเทียน 1 แท่ง เป็นสัญญาณ Bearish เกิดขึ้นในช่วงที่ราคาแกว่งตัวทำจุดสูงสุดของรอบ เกิดไส้เทียนยาวๆเหนือแท่งเทียน แสดงถึงแรงขาย (ตัวเทียนจะเขียวหรือแดงก็ได้)

นี่เป็นรูปแบบแท่งเทียนหลักๆ ที่เทรดเดอร์สายนี้มักชอบใช้กัน โดยหากเทรดเดอร์นำไปประกอบการเทรด เช่นไปใช้ประกอบกับแนวรับ แนวต้าน หรือ Divergence เป็นต้น ก็จะเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเทรดให้สูงขึ้นไปอีก

ทีมงาน : forexfactorythai.com

รูปแบบ Cups และ Caps

รูปแบบ Cups และ Caps

            เทรดเดอร์หลายคนอาจไม่ค่อยได้ยินชื่อนี้มักสักเท่าไหร่ ส่วนมากจะรู้จักแต่รูปแบบ Cup with handle ซะเป็นส่วนใหญ่ บทความนี้เราจะมานำเสนอการเทรดรูปแบบ Cups และ Caps หรือถ้าแปลเป็นไทยง่ายๆก็คือ รูปแบบหมวก และรูปแบบถ้วย โดยคีย์สำคัญของรูปแบบนี้เลยคือเป็นการเทรดแบบสั้นๆ(Short-term) ซึ่งแต่จากรูปแบบ Cup with handle ที่เป็นการเทรดแบบยาว (long-term)

            รายละเอียดของรูปแบบ Cups และ Caps นั้นจะประกอบด้วยแท่งเทียน 3 แท่งเทียน หรือ 3 bars กรณีใช้ bar charts
            รูปแบบ Cups: เป็นสัญญาณ ขาย ในช่วงแนวโน้มขาขึ้น โดยแท่งเทียนตรงกลางระหว่าง 3 แทงเทียนนั้นต่ำสุด
รูปแบบ Caps: เป็นสัญญาณ ซื้อ ในช่วงแนวโน้มขาลง โดยแท่งเทียนตรงกลางระหว่าง 3 แทงเทียนนั้นสูงสุด
            Credit: J stowell’s cups n caps pattern
            จากกราฟตัวอย่าง
            สัญญาณ ขายเกิดขึ้นเมื่อช่วงที่ตลาดเป็นขาขึ้น และฟอร์มตัวครบรูปแบบของ Cup pattern หลังจากนั้นราคาได้อ่อนตัวลงหลุด Low ของรูปแบบ Cup pattern จึงเกิดสัญญาณขาย
            สัญญาณ ซื้อเกิดขึ้นเมื่อช่วงที่ตลาดเป็นขาลง และฟอร์มตัวครบรูปแบบของ Cap pattern หลังจากนั้นราคาได้ขึ้นผ่าน High ของรูปแบบ Cap pattern จึงเกิดสัญญาณซื้อ
Credit: J stowell’s cups n caps pattern
            เป็นตัวอย่างของกราฟราคาพันธบัตรรัฐบาล ที่ฟอร์มตัวรูปแบบ Cap pattern ที่บริเวณจุดต่ำสุดของแนวโน้ม และสัญญาณซื้อเกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุระดับจุดสูงสุดของรูปแบบ Cap pattern นี้

ทีมงาน : forexfactorythai.com

ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดแนวโน้มใหญ่

ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดแนวโน้มใหญ่

            เป็นปกติที่เราเห็นราคาเคลื่อนไหวภายในวัน ราย 60 นาที ราย 30 นาที หรือว่าราย 5 นาที โดยพวกการซื้อขายภายในวันนี้ส่วนมากจะมาจากการเก็งกำไรสักมากกว่า แต่ปัจจัยหลักที่แท้จริงในการกำหนดแนวโน้มใหญ่ของราคาสินค้าต่างๆ ดังที่เกิดในภาพรายวัน รายสัปดาห์ หรือกระทั่งรายเดือน ส่วนมากนั้นจะมาจาก 4 ปัจจัยหลักดังต่อไปนี้
  1. นโยบายรัฐบาล : พวกนโยบายรัฐบาลหรือนโยบายของธนาคารกลางในประเทศต่างๆเหล่านี้ล้วนเป็นนโยบายที่ใช้ในระยะยาว ซึ่งสิ่งนี้จะสามารถเป็นตัวกำหนดทิศทางของแนวโน้มในสินค้านั้นๆ ได้เช่นกัน อย่างเช่น FED (ธนาคารกลางสหรัฐ) ปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็จะส่งผลกระแสเงินทุนระหว่างประเทศ , การค้าระหว่างประเทศ , ค่าเงิน รวมถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ
  2. การค้าระหว่างประเทศ : ถ้าประเทศไหนนำเข้าสินค้า มากกว่าการส่งออก ก็จะส่งผลทำให้ค่าเงินของประเทศนั้นอ่อนค่าลง รวมถึงเป็นการขาดดุลการค้าอีกด้วย ส่งผลไม่ดีต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ (จ่ายเงินซื้อสินค้าด้วยเงินประเทศตัวเอง หรือพูดง่ายๆคือเอาเงินประเทศตัวเองออกไป) แต่ถ้าประเทศไหนที่ส่งออก มากกว่านำเข้าจะทำให้ค่าเงินของประเทศนั้นแข็งค่า และสร้างแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ
  3. การคาดการณ์ : การคาดการณ์สามารถเป็นตัวชี้นำเศรษฐกิจได้ดี เช่น ถ้านักลงทุนคาดการณ์ไปในทิศทางเดียวกันว่าราคาทองคำจะขึ้น คนก็พากันแห่ไปซื้อราคาทองคำ และทำให้ราคาทองคำนั้นขึ้นจริงในที่สุด ในทางเศรษฐกิจมีเครื่องมือชี้วัดอย่าง Consumer confidence หรือดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ที่ไว้วัดว่า ประชาชนส่วนมากมีความเห็นอย่างไรในการจับจ่ายใช้ซอย ซึ่งเศรษฐกิจจะดีได้เมื่อผู้บริโภคมีความมั่นใจสูง เพราะผู้บริโภคเป็นตัวขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง
  4. อุปสงค์ และ อุปทาน : เมื่อสินค้าขาดตลาด ราคาของสินค้านั้นก็จะสูงขึ้น หรืออีกมุมนึง คือ ถ้าสินค้านั้นล้นตลาด ราคาของสินค้านั้นก็จะถูกลง เป็นไปตามหลักเศรษฐศาสตร์ ส่งปกติแล้วการขาดแคลนของสินค้าหลายๆชนิดนั้นไม่สามารถทดแทนได้ในทันที อย่างพวกเกษตรกรรมนั้นต้องอาศัยเวลาในการปลูก การเก็บเกี่ยว ทำให้ในช่วงนี้เกิดเป็นแนวโน้มของราคาได้
            ซึ่งถ้าเราเข้าใจภาพของแนวโน้มใหญ่แล้ว ก็จะสามารถสร้างความได้เปรียบในการเทรดด้วยอีกอย่างหนึ่ง คือเราสามารถเทรดตามฝั่งของแนวโน้มหลักนั้นได้ เพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดให้เพิ่มขึ้นไปอีกระดับ โดยแนวโน้มหลักเป็นขาขึ้น คุณอยากอยู่ฝั่งไหนล่ะ ? จะ Long หรือ จะ Short คำตอบคือก็ต้อง Long เป็นหลักที่ไหมละ ถึงจะสร้างความได้เปรียบในการเทรด

ทีมงาน : forexfactorythai.com

วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2559

ประเภทของ Tops

ประเภทของ Tops

            หลายคนที่เทรดสไตล์หาจุดกลับตัวหรือพวก Reversal trading นั้นเป็นพวกที่กำลังหาช่วงที่โมเมนตัมของแนวโน้มนั้นกำลังหมดและกำลังจะเปลี่ยนทิศทาง อย่างไรก็ตามการเทรดสไตล์นี้ค่อนข้างที่จะอันตรายอยู่ทีเดียว ถ้าเทรดเดอร์นั้นไม่สามารถแยกแยะจุดกลับตัวได้
            ในบทความนี้จะกล่าวถึงประเภทของจุดสูงสุด หรือ Tops ของราคา เพื่อที่ไว้ให้เทรดเดอร์สายเทรดจุดกลับตัวนี้นำไปประยุกต์ใช้ในการเทรดต่อไป เพื่อให้เข้าใจรูปแบบการกลับตัวมากขึ้น เข้าใจพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคา และสามารถนำไปเป็นข้อได้เปรียบในการเทรดของตัวเทรดเดอร์อีกด้วย

            โดยทั่วไปประเภทของ Tops นั้นสามารถ แบ่งได้ออกเป็น 4 ประเภทหลักๆเลยคือ
  1. Consolidation top
  2. V-top
  3. Swing top
  4. Grind top
Consolidation top
            เป็นรูปแบบหนึ่งที่เทรดเดอร์สายหาจุดกลับตัวนั้นไม่อยากเจอ เนื่องจากเมื่อเข้าเทรดแล้วหวังว่าราคาจะกลับตัวในระยะอันใกล้ แต่ราคากลับเคลื่อนไหวลักษณะแกว่งตัวออกด้านข้าง คือเกิดการเปลี่ยนแนวโน้มจริง แต่ไม่ใช่จากขาขึ้นเป็นขาลง แต่เป็นลักษณะจากขาขึ้น เป็น Sideway แทน

V-top
            หรือถ้าจะกล่าวให้ถูกคือรูปแบบ V กลับหัว เป็นลักษณะการเคลื่อนไหวของราคาที่ผันผวนอย่างมาก ราคาปรับตัวขึ้นมาแรง และกลับตัวลงแรง ซึ่งรูปแบบนี้เทรดเดอร์สายหาจุดกลับตัวนั้นจะไม่สามารถเข้าไปเทรดทัน และส่วนมากหลีกเลี่ยงการเทรดลักษณะนี้ เนื่องจากความเสี่ยงสูง

Swing top
            รูปแบบนี้เป็นที่ชื่นชอบของเทรดเดอร์สายหาจุดกลับตัว เนื่องจากรูปแบบนี้จะมีเวลาให้เทรดเดอร์ให้วิเคราะห์และสามารถเปิดออเดอร์ได้อย่างเหมาะสม โดยรูปแบบนี้จะคล้ายกับ Swing high แต่ต่างกันที่ Swing top จะเป็นจุดกลับตัวของแนวโน้มเลย แต่ Swing high นั้นเป็นแค่ High ของแนวโน้ม

Grinding top
            อีกหนึ่งรูปแบบที่สามารถสร้างตอบแทนในการเทรดได้อย่างคุ้มค่า แต่หลายคนอาจไม่ค่อยรู้จักรูปแบบนี้ โดยรูปแบบนี้เป็นรูปแบบที่เรียบง่าย และถ้าสังเกตดีๆจะเกิดค่อนข้างบ่อยในบริเวณ Top ที่คนไม่ค่อยรู้จักก็เพราะว่ามันไม่ใช่รูปแบบที่มีชื่อเสียง แต่ถ้าลองตั้งใจและสังเกตกันดูดีๆแล้วจะเห็นได้เลยว่ารูปแบบนี้มักเกิดค่อนข้างบ่อย

ทีมงาน : forexfactorythai.com

ทฤษฎีดาว Dow Theory


ทฤษฎีดาว Dow Theory

          Charles Dow ถือได้ว่าเป็น บิดา ของวงการเลย เนื่องจากเขาได้เป็นคนคิดค้น ดัชนีราคาในการวิเคราะห์ตลาดหลักทรัพย์ของอเมริกาเป็นคนแรก และเป็นต้นแบบในการวิเคราะห์กราฟทางเทคนิคในเวลาถัดมา ซึ่งหลักการของ Dow ประกอบด้วย 6 หลักการคือ
  1. ราคาได้สะท้อนทุกอย่างไว้หมดแล้ว
            ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารต่างๆ พฤติกรรมความต้องการของคนในตลาด ปัจจัยทางพื้นฐานต่างๆ Dow เชื่อว่าได้ถูกสะท้อนออกมาเป็นราคา ณ ขณะนั้นเรียบร้อยแล้ว
  1. ราคาเคลื่อนไหวอย่างเป็นแนวโน้ม
            หากมองในภาพใหญ่แล้ว Dow เชื่อว่าราคาเคลื่อนไหวไปเป็นอย่างมีแนวโน้ม โดยมี 2 แนวโน้ม คือ Bull market (ขึ้น) และ Bear market (ลง) อีกทั้งในทฤษฎีของ Dow นั้นแบ่งแนวโน้มออกเป็น 3 ประเภท คือ
1) Primary trend หรือแนวโน้มใหญ่ – 1 ปีขึ้นไป
2) Secondary trend หรือแนวโน้มกลาง  - เป็นช่วงการพักตัวของแนวโน้มใหญ่
และ 3) Minor trend หรือ แนวโน้มย่อย – ต่ำกว่า 6 วัน – การเคลื่อนไหวของแนวโน้มย่อยนั้นจะไม่ส่งผลอะไรต่อภาพใหญ่ เป็นเพียง noise ของตลาด

  1. ราคาต้องยืนยันซึ่งกันและกัน
            หากเกิดสัญญาณการขึ้น หรือลง ราคาที่เกี่ยวข้องกันควรจะต้องยืนยันทิศทางซึ่งกันและกัน ถึงจะเป็นการเคลื่อนไหวในทิศทางนั้นอย่างแท้จริง โดยในทฤษฎีของ Dow แรกเริ่มนั้นได้คิดค้นว่าถ้าดัชนีของ Utilities (หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค)ขึ้นทำ New high นั้น ดัชนีของ Railroads (หุ้นกลุ่มขนส่ง) ต้องทำ New High ด้วยเช่นกัน ถึงจะยืนยันทิศทางขาขึ้นของดัชนีหุ้นในสหรัฐ เนื่องจาก Dow มองว่าถ้าภาพรวมของเศรษฐกิจจะเป็นขาขึ้นจริง ภาพใหญ่ต้องขึ้น ไม่ใช่ขึ้นเฉพาะบางอุตสาหกรรม
  1. ปริมาณวอลุ่มยืนยันทิศทางราคา
            เมื่ออยู่ในช่วงแนวโน้มขาขึ้น ในช่วงการขึ้นนั้นปริมาณวอลุ่มควรเพิ่มขึ้น แต่ในช่วงพักตัววอลุ่มควรหดตัว และในทางตรงกันข้ามเมื่ออยู่ในช่วงแนวโน้มขาลง เมื่อราคาปรับตัวลง วอลุ่มควรเพิ่มขึ้น และหดตัวในช่วงรีบาวด์ … และข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ ปริมาณวอลุ่มจะสูงสุดในช่วงที่เป็นจุดสูงสุดของ Bull market หรือไม่ก็เป็นช่วงที่ตลาด panic ใน Bear market
  1. ใช้ราคาปิดเท่านั้น
            Dow เชื่อว่าการใช้ราคาปิดของวันนั้นถือว่าเป็นช่วงราคาที่สำคัญสุด เพราะทั้งพวกเดย์เทรดที่ต้องปิดสถานะเมื่อสิ้นวัน หรือไม่พวกนักลงทุนหรือ Hedge fund ต่างๆที่ชำระราคากันที่ราคาปิดทั้งสิ้น ทำให้ราคาปิดนั้นมีความสำคัญ แต่หลายคนอาจจะเริ่มตั้งคำถามว่า แล้วถ้าตลาดเปิด 24 ชั่วโมงล่ะ จะทำอย่างไร ซึ่งไม่ว่าตลาดจะเปิด 24 ชั่วโมงหรือไม่ สุดท้ายก็ต้องมีเวลาที่ใช้ในการคำนวณราคาที่ใช้ชำระราคา หรือ Settlement price เพื่อที่จะคำนวณ กำไร ขาดทุน คำนวณเงิน margin ต่างๆ ซึ่งในกรณีนี้อาจใช้ช่วงที่พวกธนาคารหรือโบรกเกอร์ใช้ทำการ Settlement มาแทนช่วงของราคาปิดได้
  1. แนวโน้มจะเกิดขึ้นต่อเนื่องจนกว่าจะเกิดการเปลี่ยนแนวโน้ม
            นี่เป็นพื้นฐานของการเทรดสไตล์ Trend-following เลย คือเชื่อว่าแนวโน้มจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะเกิดสัญญาณเปลี่ยนแนวโน้ม โดย Dow จะไม่คาดการณ์ว่าแนวโน้มนั้นจะเคลื่อนไหวเป็นระยะเวลานานเท่าไหร่ หรือระยะทางไกลแค่ไหน แต่แค่รอว่าถ้าเกิดสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้ม นั้นแหละใกล้ถึงใกล้จบแนวโน้มนั้น
            โดยปกติการแบ่งแนวโน้มของทฤษฎี Dow นั้นจะดูจากการทำ High และ Low ของราคา โดยถ้าราคาขึ้นทำ Higher high (ทำ High ใหม่) และทำ Lower High (ทำ Low สูงขึ้น) แสดงถึงทิศทางของขาขึ้น (Bull market)
            แต่ถ้าราคาทำ Higher Low (ทำ High ต่ำลง) และทำ Lower Low (ทำ Low ต่ำลง) แสดงถึงทิศทางของแนวโน้มขาลง (Bear market)

ทีมงาน : Forexfactorythai.com