ทฤษฎีดาว (Dow Theory) ตอนที่ 2
มาดูในส่วนการนำเสนอของทาง Robert Rhea เกี่ยวกับทฤษฎีดาวกันบ้างดีกว่า โดยเขาได้แบ่งแนวโน้มของราคาออกเป็น 3 ส่วน คือ
- Primary Trend
เป็นเทรนแนวโน้มระยะยาวที่สุด และเป็นเทรนที่แสดงให้เห็นถึงภาพรวม การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น ราคาหุ้น โดยใช้เววลาไม่ต่ำกว่า 1ปี หรือมากกว่านั้น เมื่ออยู่ในรูปแบบขาขึ้น จะเรียกว่า “Bull Trend” หากอยู่ในเทรนขาลง จะเรียกว่า “Bear Trend”
- Secondary Trend เทรนแนวโน้มรอง
ซึ่งรูปแบบเทรนนี้ จะตรงข้ามกับ "Primary Trend" หาก Primary Trend เป็นเทรนขาขึ้น Secondary Trend ก็จะเป็นการย่อตัวระยะสั้น (ย่อตัว เพื่อขึ้นต่อ) โดยจะใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์ ถึง หนึ่งเดือน และ จะย่อตัวประมาณ 33% หรือ 66% จากที่ดัชนี(เทรนหลัก) ทะยานขึ้นมาและหาก Primary Trend เป็นเทรนขาลง Secondary Trend ก็จะเป็นการฟื้นตัวระยะสั้น (เด้งเพื่อ ลงต่อ) โดยจะใช้เวลา หนึ่งสัปดาห์ ถึง หนึ่งเดือน และ จะฟื้นตัวขึ้นไปประมาณ 33% หรือ 66% จากที่ดัชนี (เทรนหลัก) ร่วงลงมา
- Minor Trend เทรนระยะสั้น
เป็นเทรนแนวโน้มเล็กๆ ที่เป็นองค์ประกอบของ Secondary Trend เป็นการเคลื่อนไหวแกว่งตัวราคาหุ้นในแต่ล่ะวัน โดยจะใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ รูปแบบเทรนจึงจะเปลี่ยนไป
ซึ่งถ้านับตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Dow theory นั้นเป็น "ปรัชญา ของการวิเคราะห์ปัจจัยเทคนิค" เพราะสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับหลากหลายศาสตร์การวิเคราะห์หุ้น ด้วยปัจจัยทางเทคนิค ได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Elliott wave, Price Pattern , Psychology trading ซึ่งเป็นเครื่องมือ ที่ใช้บอกถึงอารมณ์ของตลาดได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังสามารถบอกถึง จุดกลับตัว (Reversal)ของราคาหุ้นหรือตลาดหุ้นได้ดีอีกด้วย และหลักการ Dow theory ยังต่อยอดพัฒนามาเป็น Indicator ต่างๆ ที่นักลงทุนในปัจจุบันได้ใช้วิเคราะห์ แนวโน้ม,สัญญาณ ซื้อขาย ของราคาหุ้น,ดัชนีตลาดหุ้น ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นจึงต้องขอบคุณ Charles H. Dow , William Peter Hamilton ,Robert Rhea พวกเขาเหล่านี้ ที่ได้พัฒนาต่อยอด Dow Theory ให้สมบูรณ์แบบ และเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนรุ่นหลังเป็นอย่างมาก
ทีมงาน : forexfactorythai.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น